SSP แกร่ง !ทริสฯให้เครดิตองค์กร “BBB” แนวโน้ม”Stable” ชี้กระแสเงินสดดี -ประเมิน EBITDA แตะนิวไฮได้ 3ปีต่อเนื่อง
บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น(SSP) โรงไฟฟ้าพื้นฐานแกร่ง ทริสฯจัดอันดับเครดิตองค์กรให้ระดับ”BBB”แนวโน้ม “Stable” เนื่องจากกระแสเงินสดดี และมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการลงทุน พร้อมประเมิน EBITDA มีโอกาสแตะระดับสูงสุด 3 ปีต่อเนื่อง ฟาก “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเผย ตอกย้ำสถานะการเงินที่เข้มแข็ง พร้อมเดินหน้ารุกขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น และเวียดนาม หนุนการเติบโตระยะยาว
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว และมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ต่ำ รวมทั้งอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของโรงไฟฟ้าของบริษัท
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วของบริษัทประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด
โดยโรงไฟฟ้าของบริษัทดำเนินการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญญาที่ทำไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมทั้งผู้รับซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือหลายรายในประเทศญี่ปุ่น และการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity – EVN)
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 บริษัทเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 14 แห่งซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตรวมประมาณ 194 เมกะวัตต์ ในส่วนของกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนของการลงทุนของบริษัทนั้นคิดเป็นกำลังการผลิตสุทธิรวมประมาณ 173 เมกะวัตต์ ปัจจุบันบริษัทกำลังพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่งในประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง 1 แห่งในประเทศเวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาในประเทศอินโดนีเซียอีก 1 แห่ง ทั้งหมดนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตสุทธิรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 264 เมกะวัตต์จาก 173 เมกะวัตต์ภายในปี 2566
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้จำนวน 903 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 715 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2562 รายได้ที่เพิ่มขึ้น 26% นั้นมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ที่เปิดดำเนินการในปี 2562 และปี 2563 ซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาในประเทศไทยจำนวน 4 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ในประเทศเวียดนาม และในประเทศมองโกเลียอีกประเทศละ 1 แห่ง บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 742 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 547 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ตามประมาณการพื้นฐานทริสเรทติ้งมีสมมติฐานว่า บริษัทฯจะสามารถเปิดดำเนินการโครงการใหม่ ๆ ได้ตามแผนการที่วางไว้ ซึ่งจะทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) เติบโตที่ระดับ 1.3-2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2566 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 888 ล้านบาทในปี 2562
“การที่ทริสฯจัดอันดับองค์กรให้อยู่ระดับ “BBB” นั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี และตอกย้ำความเข้มแข็งในด้านฐานะการเงินของบริษัท ซึ่งมีความพร้อมที่จะเดินหน้าลงทุนขยายโครงการโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสามารถผลักดันการเติบโตในระยะยาว รวมทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในทุกๆปี” นายวรุตม์กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการลงทุน บริษัทฯอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 1 โครงการ และมีโครงการที่เตรียมขอใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้า 1 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 48 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็นโครงการที่กำลังก่อสร้าง จำนวน 26 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการที่กำลังขอใบอนุญาต มีกำลังผลิต 22 เมกะวัตต์ คาดมีความชัดเจนภายในปีนี้ รวมถึงอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ และคาดจะสามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้ภายในปี 2564