ผลวิจัยชี้ “เคอร่า” ยาตำรับสมุนไพรรักษาโควิด-19 ประสิทธิภาพสูง
โอกาสประเทศไทย ผลวิจัยชี้ “เคอร่า” ยาตำรับสมุนไพรรักษาโควิด-19 ประสิทธิภาพสูง ภาคประชาชนร่วมยืนยันผลการรักษาได้ผลชัดเจน ช่วยเหลือผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง วอนภาครัฐส่งเสริมพัฒนาต่อยอด
นักวิจัย แพทย์แผนไทย แพทย์แผนปัจจุบัน นักวิชาการ คณาจารย์ และเภสัชกรร่วมแถลงผลงานวิจัยสมุนไพรไทยและเห็ดยา ต้านโควิด 19 และถ่ายทอดบทเรียนการใช้ยาตำรับสมุนไพรเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดและรักษาผู้ป่วยให้ปลอดภัย
รศ.ดร.เกียรติทวี ชูวงศ์โกมล ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ได้ทำการทดสอบวิจัยตำรับยาสมุนไพรเคอร่าจนเสร็จสิ้น และได้ส่งผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ ในหัวข้อเรื่อง KERRA, mixed medicinal plant extracts, inhibits SARS-CoV-2 targets enzymes and Feline corona virus. โดยพบว่า สารสกัดของสมุนไพรตำรับเคอร่า KERRA นั้นมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ขยายตัวของไวรัสโควิด 19 ถึงสองกลไก (ตามปกติแล้วยาแผนปัจจุบันจะมีฤทธิ์ยับยั้งกลไกเดี่ยวเท่านั้น) คือ main protease และ RdRp (RNA-dependent RNA polymerase) โดยมีค่า IC50 คือค่าความเข้มข้นที่ 50% ของการยับยั้ง main protease ที่49.91 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร ซึ่งเป็นค่าความเข้มข้นที่ต่ำมาก โดยเมื่อเทียบกับยาต้านไวรัส Lopninavir และ Ritronavir นั้น สารสกัดเคอร่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าถึง1543 เท่า และ468 เท่าตามลำดับ และเมื่อเทียบกับสารสกัดฟ้าทะลายโจรนั้น พบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าประมาณ650 เท่า ส่วนค่าความเข้มข้นที่ 50% ของการยับยั้งเอนไซม์ RdRp ที่ 36.23ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร โดยที่ความเข้มข้น 100 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรเท่ากันนั้น สารสกัดเคอร่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งเอนไซม์ RdRp สูงกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ประมาณ 371%
นพ.รังสรรค์ บุตรชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงผลการวิจัยโดยการเก็บข้อมูลแบบย้อนหลัง (Retrospective) ในคนไข้จำนวน 2,476 ราย ของโรงพยาบาลประชาธิปัตย์และองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุเกิน 60 ปี จำนวน 200 ราย คิดเป็นร้อยละ 8 มีผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไธรอยด์ เก๊าต์ ไวรัสตับอักเสบ เกล็ดเลือดต่ำ ภูมิแพ้ หอบหืด วัณโรค ธาลัสซีเมีย เป็นต้น จำนวน 461 ราย คิดเป็นร้อยละ 22 มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 333 ราย คิดเป็นร้อยละ 13.5 พบว่า ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 62.8 หายป่วยภายใน 7 วัน ส่วนที่เหลือร้อยละ 21 หายภายใน 10 วัน ระยะเวลามากที่สุดที่หายจากอาการป่วยคือหลังจาก 30 วัน คิดเป็นจำนวนหายป่วย100% โดยไม่พบผู้มีอาการลุกลาม ที่ต้องใช้ออกซิเจน ท่อช่วยหายใจ ต้องเข้ารับการรักษาในไอซียู หรือเสียชีวิต ส่วนผลข้างเคียงในการใช้ยาพบว่าร้อยละ 99.68 ไม่พบผลข้างเคียง มีรายงานพบมีอาการคล้ายท้องเสีย จำนวน 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.002 ซึ่งอาการจะหายเมื่อหยุดยา ไม่มีรายงานความเป็นพิษต่อตับและไตหรือผลข้างเคียงร้ายแรงอื่น ซึ่งผู้ป่วยร้อยละ 99.68 รายงานว่าอาการดีขึ้นและหายเป็นปกติหลังได้รับยา
ดร.ภก.พยงค์ เทพอักษร หัวหน้าศูนย์วิจัยชีวอนามัยตรัง วิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดตรัง และประธานอนุกรรมการด้านวิจัยและบริการวิชาการคณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก เปิดเผยถึงข้อมูลที่ได้ทำการทบทวนงานวิจัย เปรียบเทียบประสิทธิภาพการรักษาของยาชนิดต่างๆที่ใช้รักษาโรคโควิด 19 เช่น ฟาวิพิราเวียร์, ไอเวอร์เมคติน, คอร์ติโคเสตอรอยด์, โมลนูพิราเวียร์, ริโทรนาเวียร์ ฯลฯ. พบว่ายาตำรับสมุนไพรเคอร่า นั้นมีประสิทธิภาพในการยับยั้งเอนไซม์การขยายตัวของไวรัสโควิด 19 ที่ดีกว่ายาแผนปัจจุบันหลายชนิดเมื่อเปรียบเทียบผลจากหลอดทดลอง อีกทั้งผลการวิจัยทางคลินิคในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ จำนวน 2,476 รายนั้น ทุกรายหายเป็นปกติโดยไม่พบผู้เสียชีวิตหรือมีอาการลุกลามหลังได้รับยา จึงถือเป็นทางเลือกสำหรับประชาชนและภาครัฐ ในการนำมาใช้แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด 19 ต่อไป
นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่า มูลนิธิได้รับการบริจาคยาเคอร่ามาตั้งแต่ช่วงโควิดระรอกแรกจนถึงปัจจุบันรวมแล้ว มากกว่า1,000 ขวด เพื่อใช้ในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยที่ยากจน กลุ่มเปราะบาง รวมถึงบุคลากรขององค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานช่วยเหลือประชาชนช่วงการแพร่ระบาด ซึ่งผลตอบรับในการลดอาการไข้ปรากฏชัดมาก โดยเฉพาะอาการเจ็บคอ ไอ ใช้การกินแบบเคี้ยวยาให้ผงละลายอยู่ในลำคอ จะได้ผลดี และแบบที่ใช้ยาผสมน้ำอุ่นก็ช่วยให้อาการดีขึ้นมาก และหากกินครบตามข้อกำหนดอาการก็จะดีขึ้นโดยลำดับ ต้องขอบคุณทางผู้บริหารเคอร่าที่ช่วยเหลือมูลนิธิ และคนยากไร้ ทั้งนี้อยากวิงวอนให้ภาครัฐได้พิจารณาส่งเสริมต่อยอด ให้ยาสมุนไพรของคนไทยแบบนี้ได้มีส่วนในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้เราสามารถผ่านสถานการณ์โควิด -19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน เช่นเดียวกับในหลายพื้นที่ ที่ใช้สมุนไพรตัวนี้ต่อสู้กับโควิด-19 อย่างได้ผล อาทิ ชุมชนคลองเตย, ชุมชนทุ่งสองห้อง, อบต.คลองใหญ่ จ.นครนายก, รพ.สต.คลองใหญ่ จ.นครนายก, ชุมชนริมทางด่วนบางนา, ชุมชนเคหะลำลูกกา, กลุ่มสายไหมต้องรอด, ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจกลาง, ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 6 (นครสวรรค์) ,ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 5 (ลำปาง) ฯลฯ ป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของเชื้อได้ดี รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยทำให้อาการไม่ลุกลามและหายเป็นปกติ
นายอนุชา จันทร์ศรี ตัวแทนเพจสายไหมต้องรอด กล่าวว่า ตนเป็นผู้ใช้ยาเอง แต่ยังไม่เคยเป็นผู้ติดเชื้อ ทานเพื่อป้องกันเพราะโดยส่วนตัวเป็นคนชอบสมุนไพรอยู่แล้ว ใช้ละลายน้ำก่อนนอน 1 แคปซูล หรือเคี้ยว ช่วงที่แพร่ระบาดหนักๆ เคสที่รักษาตัวที่บ้านจะให้ทานเคอร่า ที่เอาไปให้ชาวบ้านมันตอบโจทย์คือเขาหาย มีเพื่อนที่ขึ้น 2 ขีด กินเคอร่าไปแค่ 4 มื้อ มื้อละ 2 แคปซูลพอมาตรวจขึ้นแค่ขีดเดียว ชาวบ้านเห็นเขาก็รู้สึกว่าอยากรอด ทั้งนี้อยากให้ผู้ใหญ่บ้านเมืองนี้เปิดใจรับสมุนไพร ว่ามันดีจริง เพราะการันตีได้จากผู้ใช้จริง