SABINA เผยกำไรปี 65 เติบโต 41.8% ดันอัตรากำไรสุทธิพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.1%
SABINA รายงานผลประกอบการประจำปี 2565 สิ้นสุด 31 ธันวาคม เติบโตเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยรายได้รวมอยู่ที่ 3,185.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 คิดเป็น 20.0% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 417.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 41.8% โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.1% จากปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 12.5% สะท้อนความสามารถในการทำกำไร เผยบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท ระบุยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางค้าปลีก (Retail) ที่หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทำให้การซื้อสินค้าผ่านเคาน์เตอร์และซาบีน่าช้อป เพิ่มขึ้น มั่นใจปี 66 สร้างประวัติศาสตร์รายได้และกำไรสูงสุดได้ตามเป้าหมาย หลังจากกำลังซื้อส่งสัญญาณคึกคักตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอยมีแนวโน้มดีขึ้น พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยการเข้าซื้อหุ้น “โมดา” ในฟิลิปปินส์ หวังสร้างโอกาสและการเติบโตทางธุรกิจ
นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,185.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.0% จากปี 2564 โดยมีกำไรสุทธิ 417.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.8% ซึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ มาจากการเติบโตของยอดขายสินค้า “ซาบีน่า” ในทุกช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงสุดถึง 65% ของรายได้รวม ที่ในปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 2,062.6 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 24.7% ขณะที่ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ (Non Store Retailing : NSR) อยู่ที่ 752.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.0% และยอดขายในช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) อยู่ที่ 353.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0%
“ในปี 2565 ที่ผ่านมา เรากลับมาเติบโตอย่างจริงจังหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และเป็นการกลับมาเติบโตตั้งแต่บรรทัดบนสุด Top Line คือรายได้จากการขาย ไปจนถึงบรรทัดล่างสุด Bottom Line คือกำไรสุทธิ ขณะที่ยอดขายจากช่องทางรีเทลซึ่งเป็นช่องทางหลักก็เพิ่มขึ้นมาก สะท้อนการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติของผู้บริโภค โดยที่ช่องทางออนไลน์ก็ยังเติบโตได้ดี ขณะที่ช่องทางรับจ้างผลิต นอกจากจะมีคำสั่งซื้อจากคู่ค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2565 แล้ว ยังมีปัจจัยค่าเงินบาทอ่อน เป็นปัจจัยบวกอีกแรงหนึ่งด้วย ขณะเดียวกัน ด้วยการบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการควบคุมต้นทุนที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 13.1% สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 12.5% สะท้อนความแข็งแกร่งในการทำกำไรของบริษัทฯ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในปี 2565 อยู่ที่ระดับ 48.0% ” นางสาวดวงดาวกล่าว
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างน่าพอใจ คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.61 บาท คงเหลือการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.59 บาท ซึ่งบริษัทฯ กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังอนุมัติให้บริษัท ซาบีน่า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SABINA เข้าลงทุนซื้อหุ้นบริษัท Moda SBN จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีก และเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor) สินค้า “ซาบีน่า” ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นใน “โมดา” ครั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตลาดในต่างประเทศ ที่จะสร้างโอกาสและการเติบโตของธุรกิจในอนาคตต่อไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าวด้วยว่า สำหรับปี 2566 ที่ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อน โดยมีเป้าหมายสร้างรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากที่เคยทำไว้ในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ยังคงมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในช่วงต้นปีมีแนวโน้มดีกว่าที่คาดไว้ รวมถึงความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ในขณะที่ตั้งแต่ช่วงต้นปี SABINA สร้างปรากฏการณ์กับแคมเปญ “ซาบีน่า บราเลส” (SABINA BRALESS) ที่กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ จากกระแสของพรีเซนเตอร์ “ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์” รวมถึงแผนการทำตลาดด้วยการใช้สื่อโฆษณาออนไลน์และสื่อโฆษณานอกบ้าน ที่เรียกความสนใจจนทำให้กลายเป็นไวรัล จนสร้างความน่าสนใจให้มากยิ่งขึ้นไปอีก จากจุดเริ่มต้นที่ผลิตภัณฑ์ก็มีความโดดเด่นจากการเป็นสินค้านวัตกรรมที่แปลกใหม่สำหรับผู้บริโภคอยู่แล้ว
“เราประสบความสำเร็จมากกับแคมเปญ SABINA BRALESS เพราะตัวผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างสรรค์ภายใต้โจทย์ “ใส่สบาย เหมือนไม่ได้ใส่บรา” กับ 3 นวัตกรรม ทั้งเบา, นุ่ม และเย็น สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงๆ และเต็มๆ ยิ่งเมื่อมีกระแสไวรัล ทั้งเรื่องบิลบอร์ดที่ทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ ถึงกับวิกฤต รวมทั้งกระแสของตัว พรีเซนเตอร์ ก็ยิ่งทำให้ลูกค้าให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ จะเห็นแคมเปญใหม่ของ SABINA ที่เจาะลึกถึงความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจะเห็นสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น ตลอดจนสินค้าที่มีสีสันมากขึ้นจากการผนึกกับพันธมิตรที่มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นโจทย์และความท้าทายที่รอเราอยู่ในปีนี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว