สสส.ชวนคนไทย “ดื่มไม่ขับ” กลับบ้านสงกรานต์ปลอดภัย ย้ำเตือนดื่มแอลกอฮอลแค่กรึ่มๆก็ถึงตายได้
วันที่ 12 เม.ย.2566 นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงการรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ กรึ่มๆก็ถึงตาย” ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ว่า เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุข ในขณะเดียวกันก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนระหว่างเดินทาง บางคนเสียชีวิต เจ็บป่วยพิการ จึงต้องช่วยกันรณรงค์เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในทุกเทศกาล ซึ่งจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในทุกเทศกาลในปีที่ผ่านมาช่วง 7 อันตราย มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 350 ราย ถือว่ายังดีอยู่เมื่อเทียบกับ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงถึง 500- 800 ราย โดยสาเหตุส่วนใหญ่ยังเป็นการขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย ขับด้วยความเร็วสูง และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สสส.จึงได้นำประเด็น “ดื่มไม่ขับ กรึ่มๆก็ถึงตาย” มาเป็นแคมเปญรณรงค์ เพราะเป็นคำที่คนไทยคุ้นเคย เพื่อให้เห็นความสำคัญของการไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะทุกการดื่ม ไม่ว่าจะมากหรือน้อย นอกจากจะมีผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อตัวเองและผู้อื่นได้ เพราะการดื่มจะให้ภาวะในการตัดสินใจช้าลง การมองเห็นไม่ชัดเจน ควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงต้องรณรงค์ดื่มไม่ขับ ไม่ต้องรอให้เมาก่อน เพราะแค่การดื่มก็ทำให้เกิดปัญหาแล้ว ซึ่งผลเสียที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ตัวคนดื่มแต่หมายถึงครอบครัวหรือเหยื่อที่ได้รับผลกระทบด้วย
“การผลิตแคมเปญกรึ่มๆก็ถึงตาย เพื่อให้เห็นว่าการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมีได้หลายสาเหตุ อาทิ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การประมาท เช่นเหตุการณ์ที่เด็กวิ่งตัดหน้ารถ ถ้าคนขับไม่ดื่มจะทำให้มีสติควบคุมตัวเองได้หยุดรถทันก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุทำให้เด็กและตัวเองก็เสียชีวิตด้วย ผนวกกับความเชื่อของคนไทยที่ว่าเมื่อตายแล้วยมบาลจะมารับตัวไป ซึ่งการทำแคมเปญสื่อสารในรูปแบบของ สสส.ที่ต้องดึงดูด กระแทกใจ จึงจะทำให้คนให้ความสำคัญ จากแคมเปญนี้จะเห็นได้ว่าทุกฝ่ายได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น แม้จะดื่มแค่กรึ่มๆก็ตาม”
นพ.ไพโรจน์ กล่าวว่า สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนถ้ามองในเชิงระบบเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความไม่พร้อมของคนขับรถ ยานพาหนะไม่พร้อม และสิ่งแวดล้อม เช่น สภาพถนน ไฟส่องสว่าง โดยเฉพาะถนนสายรอง การขาดการศึกษา การไม่รู้กฎจราจร เป็นปัจจัยร่วมที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามการรณรงค์ให้ความรู้ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ทั้งหมด ถ้าให้ดีการเสียชีวิตต้องไม่มี แต่การทำงานของ สสส.ตลอด 20 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตลดลง ระบบบริหารจัดการที่เกิดจากความร่วมมือของทุกหน่วยงานในประเทศถือว่าสำคัญมีนโยบาย มีระบบข้อมูล มีกฎหมายบังคับใช้ และระบบยุติธรรม การทำงานเชิงพื้นที่ เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลวิชาการที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงนวัตกรรมต่างๆช่วยให้การรณรงค์ลดอุบัติเหตุประสบความสำเร็จ
นพ.ไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า นวัตกรรมการติดกล้องหน้ารถนอกจากจะช่วยบันทึกหลักฐานในการดำเนินคดีกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้ว ยังช่วยให้คนระมัดระวังมากขึ้น แต่ทั้งนี้ราคากล้องก็ยังแพง อยากรณรงค์ให้รถทุกคันมีกล้องโดยประกาศเป็นนโยบายให้บริษัทผู้ผลิตรถติดกล้องในรถทุกคัน และย้ำให้เห็นความสำคัญว่าการติดกล้องช่วยลดอุบัติเหตุได้ ช่วยสร้างการตระหนักรู้ หรือแม้แต่นวัตกรรมของตำรวจ เช่น ระบบตรวจจับความเร็ว การให้หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ขับรถในเขตชุมชนต้องชะลอความเร็ว รวมถึงการใช้คาร์ชีทในกลุ่มเด็กก็จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ ในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เช่ารถขับเองต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายจราจร และต้องบังคับใช้อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย
“เทศกาลสงกรานต์นี้อยากให้ทุกคนมีความสุขมีอิสระในการเล่นน้ำ แต่ต้องเล่นอย่างระมัดระวัง เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง สวมหมวกนิรภัย ไม่ขับรถเร็ว มีสมาธิ อย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนเรื่องรถต้องมีการตรวจเช็คสภาพทุกครั้ง และสิ่งแวดล้อมที่ทางภาครัฐต้องเข้ามาดูแล ต้องให้ความสำคัญกับทุกชีวิตในการขับขี่ ทุกคนมีสิทธิใช้ถนน ขับขี่ปลอดภัยให้เกียรติซึ่งกันและกันจะช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างแน่นอน”นพ.ไพโรจน์กล่าวย้ำ