อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ฯ ดันไทยสู่ฮับนวัตกรรมเสริมอาหารและสารสกัด จัดงาน ‘Vitafoods Asia 2023’
อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ (ประเทศไทย) ระดมทัพธุรกิจโชว์สุดยอดนวัตกรรมเสริมอาหารและสารสกัด เตรียมจัด “ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023” (Vitafoods Asia 2023) งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย จัดระหว่างวันที่ 20-22 กันยายนนี้ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เล็งผนึกกำลังซัพพลายเออร์กว่า 460 ราย เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายธุรกิจกับผู้ประกอบการมากกว่า 8,000 คนจากทั่วโลก สร้างแต้มต่อธุรกิจในทุกมิติการผลิต และการลงทุน แนะเร่งคว้าโอกาสครั้งสำคัญเจาะตลาดคนรักสุขภาพที่เติบโตแรง
นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเสริมอาหาร เติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจากผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น ซึ่งนอกจากการใส่ใจด้านการบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์แล้วยังมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพเข้ามาเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในการบำรุงรักษาร่างกาย หรือแม้กระทั่งในการต่อสู้กับบางโรคที่อยู่ในช่วงอาการเริ่มต้น
“อุตสาหกรรมเสริมอาหารที่กำลังเติบโตอย่างมากในตลาดเอเชีย ตามรายงานของ Healthy Marketing Team (HMT) ที่คาดว่ามีการเติบโตอยู่ที่ CAGR 6% โดยนับเป็นมูลค่าประมาณ 2,290 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึงปี 2569 จากกระแสใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค และการตื่นตัวของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย พร้อมกับการเข้ามาของเทรนด์สารสกัดใหม่ๆ จากทั่วโลก ทำให้ตลาดเสริมอาหารมีความคึกคัก และเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งจากภาคส่วนเดิมและภาคส่วนอื่นที่เริ่มขยายมาจับตลาดเสริมอาหารมากขึ้น” นางสาวรุ้งเพชร กล่าว
ทั้งนี้ ด้วยองค์ประกอบของอุตสาหกรรมเสริมอาหารในตลาดเอเชียที่กำลังขยายตัว และความตั้งใจในการผลักดันโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจในไทยให้เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดงาน “ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023” (Vitafoods Asia 2023) งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย
โดยวัตถุประสงค์ของงาน “ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023” (Vitafoods Asia 2023) มุ่งเป้าไปที่การ “ปลดล็อค” ข้อจำกัดต่าง ๆ ในด้านคุณภาพสารสกัด และผู้ผลิตและผู้ให้โซลูชันที่น่าเชื่อถือ ไปจนถึงการจัดกิจกรรมและโซนพิเศษต่างๆ เพื่อ “เพิ่มโอกาส” ของการเชื่อมต่อธุรกิจที่มากขึ้น โดยภายในงานจะเป็นการรวมตัวของผู้ที่มีความสนใจร่วมกันในด้านสุขภาพและโภชนาการ โดยเชื่อมโยงซัพพลายเออร์ แหล่งวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผู้รับผลิต และบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้มีการขับเคลื่อนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพร และสารกลุ่ม Functional Ingredients โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของไทย โดยมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ส่วนผสมฟังก์ชั่นจากจุลินทรีย์ Probiotics, Prebiotics, Postbiotics, Starter culture, Food enzyme และ Peptides รวมทั้งสารสกัดสมุนไพรและจุลินทรีย์ มาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนมีการทดสอบเพื่อเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของ Ingredients ในด้านต่าง ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการนำเข้าวัตถุดิบ และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพื่อสนับสนุน ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้มีโอกาสการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพรในประเทศไทย นับเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสสูง สามารถสร้างรายได้ได้อย่างมหาศาล ปัจจุบันตลาดมีมูลค่าสัดส่วนสูงกว่า 30% ของกลุ่มผลิตความงาม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สำหรับแนวโน้มในปี 2566 นี้ มองว่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีโอกาสขยายตัวที่ดีอีกครั้ง จากปัจจัยบวกการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และสถานการณ์โควิดคลี่คลายทำให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้เทรนด์รักสุขภาพกลับมาเป็นกระแสร้อนแรงอีกครั้ง ส่งผลให้ความต้องการ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” ของผู้บริโภคในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ภายใต้กระแสความนิยมที่ขยายตัวสูง ยังต้องจับตาดูทิศทางการแข่งขันในตลาดของปีนี้ที่จะกลับมามีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และน่าจะมีผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ หน้าใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้นเช่นกัน
ทางด้าน นายเมธา สิมะวรา ประธานกลุ่มสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตที่มีศักยภาพด้านสมุนไพรไทยและวัตถุดิบธรรมชาติที่หลากหลาย และที่ผ่านมาภาคการผลิตของไทยยังขาดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่จะเข้ามาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้ หากสามารถยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย โดยดึงจุดเด่นของสมุนไพรในแต่ละชนิด ใช้เทคโนโลยีและการวิจัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า และการต่อยอดสารสกัดจากสมุนไพรไทยสู่ตลาดสากลได้ ก็จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้เติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต
ทั้งนี้ ตลอด 3 วันของการจัดงาน ระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2566 ที่ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะเป็นงานเดียวที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด พร้อมรวบรวมสารสกัด เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเสริมอาหารล่าสุดจากทั่วโลก พร้อมโซนพิเศษที่จะเจาะลึกส่วนผสมต่างๆ ที่กำลังได้รับความนิยม เช่น โพรไบโอติกซ์ ในโซน ‘Probiotics Resource Center’ และโอเมก้า-3 ในโซน ‘Omega-3 Resource Center’ รวมถึงนวัตกรรมสารสกัดและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อีกมากมายในโซน ‘New Products & Ingredients Zone’
นอกจากนี้ ยังมีส่วนของพาวิลเลี่ยนนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น เบลเยี่ยม จีน ญี่ปุ่น เกาหลี โปแลนด์ สเปน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา ที่จะมาจัดแสดงผลิตภัณฑ์และส่วนผสมเสริมอาหาร อาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชันจากทั่วโลก
พร้อมด้วยศูนย์นวัตกรรมสุขภาพ “Innovative Health Hub” โดยในงานนี้จะเป็นการค้นพบเทรนด์สุขภาพและโภชนาการครั้งสำคัญของเอเชีย ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และการรับฟังเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์อุตสาหกรรมในอนาคตจากผู้เชี่ยวชาญด้านเสริมอาหารและผู้นำด้านธุรกิจตัวจริงในโซน ‘Main Stage’ และ ‘NutraFocus’
นางสาวรุ้งเพชร กล่าวว่า “ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023” (Vitafoods Asia 2023) นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ประกอบการในการเชื่อมต่อกับผู้ซื้อกับผู้ผลิต และขยายเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสทางการตลาดที่ใหญ่ขึ้นในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
“ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023 เป็นงานเดียวที่เพิ่มมูลค่าให้กับผู้มาเยี่ยมชมได้เรียนรู้ และเข้าถึงห่วงโซ่อุปทานด้านโภชนาการทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ พร้อมต้อนรับคนในอุตสาหกรรมจากทั่วทั้งเอเซีย ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินเดีย ญี่ปุ่น กัมพูชา และไทย ให้ได้เข้ามาเจรจาทางธุรกิจ พร้อมทั้งเข้าถึงนวัตกรรมที่ทันสมัย เรียนรู้เกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด รวมถึงส่วนผสมใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จะได้รับความสนใจในอนาคต” นางสาวรุ้งเพชร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการยกระดับธุรกิจ และเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจเสริมอาหารได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน คุณภาพของสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อก้าวสู่ตลาดเสริมอาหารระดับโลก รวมทั้งการนำสุขภาพที่ดีสู่ผู้บริโภคในไทย และเอเชีย
สำหรับงานในปีนี้ เป็นการกลับมาพร้อมความยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยพื้นที่ครอบคลุมกว่า 15,000 ตรม. รองรับเครือข่ายธุรกิจกับผู้ให้นวัตกรรมด้านเสริมอาหารกว่า 460 รายจากทั่วโลก โดยตั้งเป้ายอดผู้เข้าชมงานกว่า 8,000 คน ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มและต่อยอดเป็นเครือข่ายทางธุรกิจได้อีกมากในอนาคต
พบกับนวัตกรรม และโอกาสทางธุรกิจระดับเอเชียที่ไม่ควรพลาด “ไวต้าฟู้ด เอเชีย 2023 (Vitafoods Asia 2023)” งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรมส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2566 ฮอลล์ 5 – 7 ชั้น LG ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงาน ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ Visitor Registration – VFA (imasia-passport.com)