สสส.-กทม.-คพ.-ศวอ. สานพลังภาคีเครือข่าย ถอดบทเรียนฝุ่นพิษทั่วประเทศ
สสส.-กทม.-คพ.-ศวอ. สานพลังภาคีเครือข่าย ถอดบทเรียนฝุ่นพิษทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือความแห้งแล้งปี 2567 หลังการปรับค่ามาตรฐานและดัชนีคุณภาพอากาศใหม่ของประเทศในรอบ 15 ปี
เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2566 ณ ห้องประชุมรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศวอ.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และภาคีเครือข่าย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสรุปลการดำเนินงานและถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง PM2.5 ปีงบประมาณ 2566
ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า สหประชาชาติ ประกาศให้ “มลพิษทางอากาศเป็น 1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ สสส. ขับเคลื่อนการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเร่งด่วน ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งระดับระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และนานาชาติ เน้นรณรงค์ป้องกันปัญหาจากต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกิดจากฝุ่น PM2.5 การถอดบทเรียนเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง PM2.5 กำหนดดำเนินการ 4 ครั้ง ใน 4 ภูมิภาคที่มีแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองที่แตกต่างกัน เพื่อรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไข PM2.5 อย่างแท้จริง ทั้งจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคประชาสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน รวมถึงประชาชนกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างรอบด้าน นำมาสังเคราะห์และส่งต่อไปยังกรมควบคุมมลพิษ เป็นการปรับแผนให้สอดคล้องกับค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนใหม่ ที่กำหนดไว้เฉลี่ย 24 ชั่วโมงต้องไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรด้วย ซึ่งเป็นการปรับปรุงค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในรอบ 15 ปี
“คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ‘การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง’ พ.ศ. 2562 – 2567 เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองภาพรวมของประเทศและในพื้นที่วิกฤต ประกอบกับสถานการณ์สภาพอุตุนิยมวิทยาในปัจจุบันที่เริ่มพัฒนาเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลเกิดความแห้งแล้ง อาจทำให้สถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องสรุปผลการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค ถอดบทเรียน และทบทวนมาตรการ/แนวทางการดำเนินงานตามแผนต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเตรียมความพร้อมกับค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศและดัชนีคุณภาพอากาศใหม่” ดร.ชาติวุฒิ กล่าว
นางกัญชลี นาวิกภูมิ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า การจัดประชุมสรุปผลและถอดบทเรียนฝุ่น PM2.5 ที่ผ่านมา 3 ครั้ง 1. มิติการเผาในที่โล่งโดยเฉพาะอ้อย ณ จังหวัดขอนแก่น 2. มิติหมอกควันข้ามพรมแดน ณ จังหวัดเชียงราย 3. มิติการเผาในที่โล่งโดยเฉพาะข้าว ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีข้อเสนอแนะจำนวนมาก ทั้งด้านกฎหมายและกฎระเบียบ เช่น การเปลี่ยนจากกำหนดวัน D-Day ห้ามเผาเป็นการบริหารการเผาตามช่วงเวลาและพื้นที่ กำหนด KPI จากพื้นที่ที่สอดคล้องกับทิศทางนโยบายของรัฐบาล มีศูนย์ขับเคลื่อนเรื่องฝุ่นโดยตรง เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ภาคเอกชนสามารถส่งเสริม หรือช่วยเหลือเกษตรกรทำการเกษตรที่ไม่เผา ข้อตกลงทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม การปรับวิถีอาเซียนเรื่องภัยพิบัติสิ่งแวดล้อมข้ามแดน การใช้กลไกบ้านพี่เมืองน้อง การสื่อสารที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สื่อสารตลอดทั้งปี รวมถึงการจัดทำห้องปลอดฝุ่นในระดับชุมชน โดยเน้นกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเปราะบาง การจัดหาสินค้าที่มีมาตรฐานและราคาไม่แพง โดยกรมควบคุมมลพิษจะสรุปผลนำไปสู่การพิจารณาในการจัดทำมาตรการในการจัดการฝุ่นละออง PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร ได้ประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จากแหล่งกำเนิดในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมยกระดับมาตรการการดำเนินงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 อย่างต่อเนื่อง และมีการทบทวนปรับปรุงร่างแผนฯ ประจำปี 2567 เพื่อเตรียมขับเคลื่อนมาตรการฝุ่นกับทุกภาคส่วนเดินหน้าแก้ไขปัญหาและดูแลสุขภาพประชาชน ในวันที่ 15 ก.ย.2566 ที่ผ่านมา กทม. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ค้นหาต้นตอฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่า มีสาเหตุหลักมาจากรถยนต์ รองลงมาคือการเผาในที่โล่ง จึงร่วมกับหน่วยงานในสังกัด สำนักงานเขต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาเชิงรุก ติดตามแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองล่วงหน้า 7 วันด้วยการบูรณาการข้อมูลกับกรมควบคุมมลพิษ ทำงานร่วมกับ สสส. ในการสร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรรมให้กับประชาชน พร้อมสื่อสารสาธารณะเพื่อให้สามารถวางแผนการทำงาน หรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมในพื้นที่ที่ค่าฝุ่นสูง รวมถึงประชาชนยังสามารถมีส่วนร่วมด้วยการแจ้งปัญหาผ่านทาง Traffy Fondue นอกจากนี้ ร่วมมือแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 จากต้นตอ เช่น การควบคุมมลพิษจากยานพาหนะ การก่อสร้าง โรงงาน สถานประกอบการ การเผาชีวมวลจากการเกษตร การเผาในที่โล่ง รวมถึงรณรงค์เน้นย้ำข้อควรปฏิบัติและวิธีป้องกันตนเองจากฝุ่นละออง PM2.5 ตลอดจนเตรียมพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข รองรับให้บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากฝุ่น PM2.5
รศ.ดร.ดลเดช ตั้งตระการพงษ์ รองผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ กล่าวว่า ศวอ. ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายของ สสส. มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายการขับเคลื่อนมาตรการและนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อปลูกฝังความเป็นเจ้าของในทรัพยากรอากาศสะอาดร่วมกัน สร้างการมีส่วนกับทุกภาคส่วน เพื่อสานพลังขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดย ศวอ. หวังว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาด้านฝุ่นละอองที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต