PROEN ผลงานเยี่ยม โชว์กำไร Q1/64 พุ่ง 99.03 %
นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.03% จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 203.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.24% จากงวดเดียวกันปีก่อน
สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากในไตรมาส 1/2564 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายในส่วนของธุรกิจ ICT เพิ่มขึ้นถึง 187.11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ อีเพย์เมนท์ หรือเกมออนไลน์ มีการขยายการลงทุนสูงในช่วง สถานการณ์ โควิด-19 จากการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคน การทำงานในรูปแบบของ Work From Home ทำให้ความต้องการใช้ระบบออนไลน์เพิ่มขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น เพื่อรองรับธุรกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ อีเพย์เมนท์ หรือเกมออนไลน์ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ทำให้ธุรกิจศูนย์จัดเก็บศูนย์ข้อมูล (Internet Data Center) มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ขณะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสำหรับงานโทรคมนาคม และสาธารณูปโภคพื้นฐาน บริษัทฯได้ทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (backlog) ตามความสำเร็จของงานที่เหลืออยู่ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นด้วย พร้อมกันนี้ทางคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.10 บาท โดยกำหนด Record Date ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 มิถุนายน 2564
“ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/2564 เติบโตดีมาก จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลทำให้ธุรกรรมทางออนไลน์เพิ่มขึ้นมาก ลูกค้าของบริษัทฯ มีความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ด้าน ICT และใช้บริการพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น ทางบริษัทฯประเมินว่าแนวโน้มยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง ดังนั้นภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี2564น่าจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น” นายกิตติพันธ์กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯ เน้นการเติบโตของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ในลักษณะของการสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ขณะเดียวกันคาดว่าธุรกิจคลาวด์ (Cloud Service) และเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตระดับองค์กร ที่ใช้ชื่อ SD-WAN จะเป็นบริการที่สร้างฐานรายได้ใหม่ (New S-Curve) ให้กับบริษัทฯ ซึ่งมั่นใจว่าจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน และต่อเนื่องในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.7 หมื่นล้านบาท