MTC ปลื้ม! หุ้นกู้ 3 รุ่น มูลค่า 4,000 ลบ.ขายเกลี้ยง ปักหมุดพอร์ตสินเชื่อปี 65 ทะยานแตะ 1 แสนลบ.
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ 3 รุ่น มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป โดยได้รับความสนใจอย่างคึกคัก แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่กระแสตอบรับยังดีเกินคาด ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ และมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง รวมทั้งผลตอบแทนของอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ ยังมีความน่าสนใจอยู่ในระดับที่ดี เหมาะสมกับการเลือกลงทุนอีกด้วย
ทั้งนี้ หุ้นแต่ละรุ่นประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 3 ปี 1 วัน อัตราผลตอบแทน 3.20% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราผลตอบแทน 3.50% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 4 ปี 11 เดือน 30 วัน อัตราผลตอบแทน 3.70% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เปิดจองซื้อวันที่ 20, 23-25 สิงหาคม 2564 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 5 แห่ง ได้แก่ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.กสิกรไทย ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย และ ธ.เกียรตินาคินภัทร เผยอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ จากทริสเรทติ้ง ซึ่งเป็นระดับลงทุนได้หรือ Investment Grade
“ผลตอบรับจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อความสามารถในการทำกำไรที่ดี และคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ตลอดจนแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัทฯที่จะสามารถรักษาการอัตราเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว”
รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวอีกว่าแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าพอร์ตสินเชื่อเติบโตเป็น 30-35% จากเดิมตั้งไว้ที่ 20-25% โดยเป็นผลจากความต้องการสินเชื่อยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อรถมอเตอร์ไซต์ และเป็นไปตามการขยายสาขาที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้จะพยายามควบคุมไม่ให้เกิน 2% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.1%
ส่วนการขยายสาขา สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสาขาเพิ่มเป็น 5,500 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 5,284 สาขา และในปีถัดไปจะเพิ่มอีก 600-700 สาขา โดยในปี 2565 คาดว่าจะมีสาขาอยู่ที่ 6,100 สาขา และในปี 2566 จะมีสาขาทั้งสิ้น 6,700 สาขา ซึ่งบริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปี 2565 พอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะทะลุ 100,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านบาท