ในประเทศ

“จุติ ไกรฤกษ์” รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้การต้อนรับ ที่ปรึกษาสมเด็จอัครเดโช ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา

เมื่อวันอังคารที่ 28 กันยายน 2564 เวลา 15.00 น. ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทาวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้การต้อนรับ Dr. H.E. Sok Sokrethya ที่ปรึกษาส่วนตัว นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือถึงแนวทางความร่วมมือด้านงานพัฒนาสังคม

เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลของสองประเทศให้มั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักการเมืองรุ่นใหม่ของกัมพูชากับของประเทศไทย ตลอดจนเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแสวงหาความร่วมมือในด้านต่างๆในช่วงที่ทั้งสองประเทศเกิดโรคระบาดโควิด และหลังจากสถานการณ์โควิดผ่านไปแล้วด้วย

รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้กล่าวต้อนรับ ด้วยความอบอุ่นและขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการท่องเที่ยวจากกัมพูชาที่ให้เกียรติมาเยือนกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในวันนี้ ท่านหวังว่าความสัมพันธ์ที่ดีของสองประเทศจะเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป

รัฐมนตรีจากกัมพูชา ได้กล่าวในนามของรัฐบาลกัมพูชาว่า รัฐบาลกัมพูชาใคร่ขอขอบคุณรัฐบาลไทยและท่านรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ได้ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในด้านต่างๆ แก่รัฐบาลกัมพูชาด้วยดีมาโดยตลอด

Dr. Sok Sokrethya ได้เรียนเพิ่มเติมว่า ท่านนายกรัฐมนตรี สมเด็จฯ ฮุนเซน มีนโยบายส่งเสริมให้คนรุ่นหนุ่มสาวได้เข้ามาเป็นผู้บริหารบ้านเมืองทั้งในระบบราชการและในภาคการเมืองมากยิ่งขึ้น ตนเองในฐานะที่ท่านเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่กำลังเรียนรู้เรื่องการเมือง จึงมาขอเรียนรู้ประสบการณ์ทางการเมืองจากท่านรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างยาวนาน

ภายหลังจากการหารือกันอย่างกระชับ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ของไทย ได้เสนอเรื่องความร่วมมือสามด้านระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ดังนี้คือ

1. เรื่องของการแยกขยะที่ใช้แล้วซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงาน การมีอาชีพแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและคนจน และการลดปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งประเทศไทยยินดีให้การสนับสนุนโดยจะให้องค์กรเอกชนเข้าไปให้คำแนะนำ

2.การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างสภาเยาวชนไทยกับสภาเยาวชนของกัมพูชา เพื่อให้เยาวชนของสองประเทศสามารถ พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการเยี่ยมเยียนกันระหว่างเยาวชนสองประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนสองประเทศในระยะยาวมากยิ่งขึ้น

3.การให้ความรู้และประสบการณ์ของการเคหะแห่งชาติเรื่องการจัดสร้างบ้านให้แก่ผู้มีรายได้น้อย

นายจุติ ไกรฤกษ์ กล่าวว่า การเคหะแห่งชาติของไทยมีประสบการณ์ที่สั่งสมมานานตามสมควร ทั้งที่เป็นจุดอ่อนและเป็นจุดแข็ง การเคหะแห่งชาติได้มีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อยดีขึ้น

ทั้งเรื่องขนาดของบ้านและราคา ในปัจจุบันบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยของการเคหะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและราคาถูกลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด การเคหะแห่งชาติมีนโยบายให้คนมีรายได้น้อยได้สามารถเช่าบ้านจากการเคหะแห่งชาติได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และหากผู้เช่ามีรายได้ดีขึ้นก็สามารถที่จะขอเปลี่ยนเป็นซื้อแทนได้

นายจุติ ไกรฤกษ์ ยังได้กล่าว ยกย่องราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าเป็นประเทศที่มีมรดกทางอารยธรรมที่เก่าแก่และมีโบราณสถานทางประวัติศาสตร์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยไม่อาจเปรียบเทียบได้เลย

สำหรับกัมพูชาแล้ว มีความเห็นว่าการสร้างพิพิธภัณฑ์ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดใหญ่ของกัมพูชาเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยกัมพูชาอาจเรียนรู้และศึกษาจากประสบการณ์การสร้างพิพิธภัณฑ์อย่างยิ่งใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งทั้งในปัจจุบันและอนาคต

นอกจากนี้ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยังเห็นว่าสำหรับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของกัมพูชา ซึ่งกำลังเริ่มต้นจะมีข้อได้เปรียบ เพราะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของไทยที่ผ่านมาทั้งด้านบวกและด้านลบ

การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของกัมพูชาควรสนใจการดูแลรักษาแหล่งต้นน้ำตามธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาไทยเรายังมีจุดอ่อน ท่านมั่นใจว่ากัมพูชาน่าจะสามารถทำได้ดีกว่าประเทศไทยเนื่องจากมีประสบการณ์จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก สถานที่ท่องเที่ยวประเภทนี้ในกัมพูชาจะเป็นประโยชน์และความสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนกัมพูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวฝรั่งเศส

นายจุติ ไกรฤกษ์ ได้เสนอแนะในเรื่องการท่องเที่ยว ว่า กัมพูชาควรส่งเสริมเรื่องการทำอาหารฝรั่งเศสและอาหารพื้นเมืองของกัมพูชาควบคู่กันไป และน่าจะเป็นจุดแข็งอีกจุดหนึ่งของนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกัมพูชา ด้วย

บรรยากาศช่วงท้าย รัฐมนตรีทั้งสองท่าน ได้จับมือแสดงความเป็นมิตรแท้ของประเทศบ้านพี่เมืองน้องที่จะร่วมมือกันสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ทั้งสองประเทศไปพร้อมๆ กัน